วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

13 ข้อควรระวัง แต่งรถยังไงไม่ให้ผิด พ.ร.บ. จราจร

13 ข้อควรระวัง แต่งรถยังไงไม่ให้ผิด พ.ร.บ. จราจร






รถซิ่งรถแต่งโหลดเตี้ย โมเครื่องแรงเสียงดังไฟหลากสีล้อโตอวบทะลักหางหลังใหญ่โตยังกับราวตาก ผ้าอ้อม ขับเข้าด่านตำรวจครั้งใดก็มีแต่ความเสียวว่าจะโดนจับปรับหรือเปล่า ลดกระจกส่งยิ้มให้จ่าแล้วก็ยังไม่รอด โดนหลายกระทงข้อหาดัดแปลงสภาพ หนักหน่อยก็พวกเอกสารสำเนาทะเบียนกับป้ายทะเบียนปลอมที่อาจเล่นกันถึงคุก ตะราง มาดู 13 ข้อควรระวังในการตกแต่งรถยนต์สุดที่รักของคุณกันดีกว่าว่าแบบไหนทำได้แบบไหน ผิดกฎหมายระวังโดนจับปรับ
1-เปลี่ยนป้ายทะเบียนให้ยาวขึ้น ผมผิดหรือเปล่าครับจ่า
ป้ายทะเบียน ที่ออกให้โดยกรมการขนส่งทางบกนั้น มีหลายท่านนำมาดัดแปลงตัดต่ออัดกรอบใหม่เป็นป้ายยาว การกระทำกับป้ายทะเบียนเดิมๆให้เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ คุณจะโดนข้อหาดัดแปลงสภาพป้ายทะเบียน ผิดเต็มประตูไม่ต้องเถียงเลยครับ การปรับเปลี่ยนแปลงร่างป้ายทะเบียนซึ่งถือเป็นเอกสารของทางราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถเรียกปรับไม่เกิน 2,000 บาท รวมถึงการติดป้ายเอียง แบบแหงนขึ้น – แหงนลง มีวัสดุมาปิดทับ เจ้าหน้าที่อาจฟันธงว่า มองเห็นไม่ชัดเจนก็มีโทษปรับเช่นเดียวกันการไม่ติดป้าย หรือวางไว้ที่กระจกหน้ารถ ผิดอีกเช่นกันปรับ 500 บาท

ส่วนการติดป้ายที่ทำขึ้นเอง เช่นทำด้วยกระดาษ หรือใช้การเขียน แต่หมายเลขตรงกับทะเบียนรถ ผิดข้อหา ไม่ใช้เอกสารที่ทางราชการกำหนดแต่ถ้าเป็นป้ายปลอมที่ทำขึ้นเองโดยไม่มีตรา ประทับของกรมการขนส่งทางบก เมื่อตำรวจจราจรขอตรวจดูสำเนาแล้วไม่ตรงกับป้าย จะต้องคดีข้อหาปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกปรับ หรือส่งฟ้องเพื่อทำการเรียกปรับที่ชั้นศาล โดยระบุโทษไว้ที่ 100,000 บาท หากหมายเลขป้ายทะเบียนไม่ตรงกับป้ายวงกลม รวมถึงยังไม่ตรงกับสำเนารถ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีสิทธิ์ยึดรถ เพื่อส่งเข้ากองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อหาที่มาของตัวรถและผู้ขับขี่ต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ รวบรวมสำนวน ส่งให้ศาลตัดสินค่าปรับซึ่งมีบางท่านโดนปรับกันหลักแสนหลักล้านบาทมาแล้ว
2-โหลดเตี้ยแบบรถแข่งในสนาม
เป็นความพยายามและความเข้าใจของคนแต่งรถ ว่ารถที่เตี้ยต่ำจะยึดเกาะกับถนนได้ดีขึ้นซึ่งก็จริงแต่ไม่ทั้งหมด การยึดเกาะที่ดีของรถยนต์ยังเกิดขึ้นจากช่วงล่างที่สมบูรณ์ ยางที่สดใหม่และอยู่ในสภาพดี สำหรับกฎหมายเกี่ยวกับการโหลดรถ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า รถที่โหลดเตี้ยจะต่ำแค่ไหนก็ได้ โดยยึดหลักเพียงการวัดระยะกึ่งกลางไฟหน้า กับระดับพื้นถนนต้องไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร ถ้าต่ำกว่าถือว่าผิด แต่ถ้าไฟหน้าสูงกว่าแต่รถใส่สปอยเลอร์จนเตี้ยต่ำแทบจะลากพื้น จะใช้กฎการพินิจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนายช่างตรวจสภาพกรมการขนส่งทางบก และผู้วินิจฉัยผล ตรอ. ว่าเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง และผู้อื่นหรือไม่ ถ้าฟันธงว่าเสี่ยงก็ถือว่าผิดได้เช่นกันนะจ๊ะ

3-ยกสูงแบบ Big Foot เอาไว้ลุยเท่ๆ
รถยนต์แบบออฟโรดที่มีสัดส่วนความ สูงมากกว่ารถเก๋งเนื่องจากสภาพการใช้งานที่ต้องบุกป่าฝ่าทางวิบาก หากใต้ท้องรถไม่สูงมากพอก็อาจติดกับร่องทางหรือหล่มโคลนจนไปต่อไม่ได้ ในพระราชบัญญัติรถยนต์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะยกสูงแค่ไหน แต่ต้องวัดระดับกึ่งกลางไฟหน้ากับพื้นถนนต้องไม่สูงกว่า 135 เซนติเมตร แต่ถ้าไฟหน้าสูงไม่เกิน แต่รถโด่งโจ้งมาก มีการดัดแปลงสภาพมากทั้งเสริมโช้กยกตัวถัง การปรับแต่งรถแบบยกสูงมากนั้นต้องมีหนังสือจากวิศวกรรองรับการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบกว่ามีการดัดแปลงเพื่อใช้งานในเขตทุรกันดาน แต่ถ้ายกไม่สูงมาก แต่ใส่ยางใหญ่เกินจนล้นออกมาข้างตัวรถมากๆ เกินบังโคลนล้อ ก็ต้องใช้หลักดุลพินิจอีกเช่นกันว่าเสี่ยงต่อผู้ร่วมใช้ถนนหรือไม่ ถ้าคุณจ่าคิดว่าสิ่งที่ยื่นออกมานั้นอาจเป็นอันตรายต่อการใช้รถของผู้อื่น คุณก็จะเสี่ยงกับความผิดทันที

4-ใส่ล้อ 20 หรือ 22 แบบเต็มซุ้มเพื่อความหล่อและอำนาจของการยึดเกาะ
ใน กฎหมายไม่มีการระบุขนาดของล้อและขนาดก็ไม่ได้มีผลการเสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุ ดังนั้น จะใส่ล้อใหญ่ขอบ 18-19-20 หรือจะ 22 ก็สามารถทำได้แบบสะดวกโยธิน แต่ถ้าใส่แล้วยางล้นเกินออกมานอกบังโคลนล้อข้างละหลายนิ้ว เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านได้ตรวจพบว่าอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือสร้าง ความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น (เช่นทำให้ผู้อื่นกะระยะรถผิดในขณะสวนหรือเลี้ยว) ก็ถือว่าผิดได้ หรือใส่ล้อใหญ่จนต้องแบะล้อเพื่อหลบซุ้ม การทำแบบนั้นนอกจากรถจะไม่เกาะถนนแล้วยังเป็นการทำร้ายช่วงล่างอย่างรุนแรง อีกด้วย มุมอินเอาต์ต่างๆ ที่ผิดเพี้ยนไปจากการคำนวณของวิศวกรจะทำให้คุณควบคุมรถล้อแบะได้ยากขึ้น แถมยังกินยางและดูแลรักษายากอีกด้วยนะครับ

5-โป่งซุ้มล้อไซส์ยักษ์
การทำโป่งซุ้มล้อหรือที่เรียกกันว่า Wide Body ในปัจจุบันลดน้อยลงไปมากเนื่องจากรถยนต์สมัยใหม่มีโป่งล้อมาให้แบบจุใจ ในกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนในเรื่องของโป่งล้อ แต่ก็มีระบุไว้ว่า ส่วนที่ตียื่นต้องมีลักษณะเป็นชิ้นเดียวกับตัวรถ หรือถ้าเป็นวัสดุคนละชนิดกัน ต้องมีการยึดติดอย่างแน่นหนา ถ้าไม่แน่นหนาหรือตีโป่งยื่นออกมามาก เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ขอตรวจดูสำเนาการจดทะเบียน ว่ามีการดัดแปลงเกินกว่าที่จดทะเบียนไว้หรือไม่ โดยอ้างอิงจากบริษัทผู้ผลิตถึงขนาดตัวรถ และฐานล้อ ซึ่งต้องใช้วิศวกรรับรองการดัดแปลงสภาพ และต้องแจ้งกับกรมการขนส่งทางบก ถ้าขนส่งตรวจแล้วลงความเห็นว่าผ่านก็โชคดีไป แต่ถ้าลงความเห็นว่าไม่ผ่านต้องเลาะออกกลับสภาพเดิม

6-ฝากระโปรงหน้า–หลังดำ ฝากระโปรง หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์
นักเลงรถแรง ส่วนมากมักนิยมเปลี่ยนฝากระโปรงแบบเดิมให้กลายเป็นฝาแบบคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อ ลดน้ำหนักและเพิ่มความขลังในมุมมอง หากทำการพ่นเป็นสีเดียวกับสีรถ ที่จดทะเบียนไว้ถือว่าไม่ผิด แต่ถ้าเปลี่ยนสีฝากระโปรงเป็นสีดำ หรือสีอื่น ที่ไม่ตรงกับสีตัวรถ เจ้าหน้าที่จะพิจารณาตามกฎที่ว่า รถยนต์ที่จดทะเบียนจะมีการระบุสีตัวรถไว้อย่างชัดเจนไม่รวมสีของกันชนรถ โดยสีอื่นต้องมีไม่เกินครึ่งหนึ่งของสีหลักที่จดทะเบียนไว้ เช่น ในกรณีรถระบุไว้ในทะเบียนว่าเป็นสีขาวแต่ฝากระโปรงหน้าเป็นสีดำ เจ้าหน้าที่พินิจแล้วไม่เกินครึ่งหนึ่งก็ถือว่าไม่ผิด แต่พินิจว่าผิดก็ถือว่าผิดได้เช่นกัน (การพินิจหมายถึง การใช้หลักพิจารณาในแต่ละบุคคล) แต่ถ้าดำทั้งฝากระโปรงหน้าและหลัง ส่วนมากจะพินิจว่าผิด เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของสีหลัก ซึ่งเจ้าของรถต้องนำรถเข้าไปแจ้งเปลี่ยนสี ว่าเป็นรถสองสี (ทูโทน) กับกรมการขนส่งทางบกเสียก่อน ถ้าไม่แจ้งก็อาจต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

7-เปลี่ยนท่อไอเสีย ตีเฮดเดอร์ใหม่ทั้งเส้น
จะเปลี่ยนท่อใหญ่ 3 นิ้ว 4 นิ้ว จะมีหม้อพักกี่ใบ หรือจะไม่มีหม้อพักเลยก็ได้แต่หม้อพักต้องปล่อยออกทางท้ายรถเท่านั้น (ยกเว้นเสียแต่พวกรถพ่วง รถโดยสารขนาดใหญ่) ถ้าออกข้างตัวถังรถก็ถือว่าผิดทันที ตามกฎหมายจะระบุไว้แค่การวัดเสียงดังที่ปล่อยออกจากปลายท่อตามพระราชบัญญัติ รถยนต์ระบุว่า รถยนต์ที่เกิน 7 ปี ต้องนำรถเข้าตรวจสภาพ ณ สถานตรวจสภาพ เพื่อตรวจวัดระดับเสียงที่ปลายท่อไอเสียด้วยเครื่อง Sound level Meter ผลที่ได้ต้องไม่เกิน 100 เดซิเบล (การตรวจวัดแบบ O.5 เมตร) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิลวัดที่ ¾ รอบที่ให้แรงม้าสูงสุด และรอบสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ถ้าท่านใดถูกจับในข้อหาเสียงท่อดังสนั่นหวั่นโลกจนชาวบ้านร้านตลาดตกกะใจ ระวังต้องโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

8-ไฟหน้าหลายสี
ไฟซีนอนกำลังส่องสว่างแรงสูง ไฟท้ายขาวใสแนวซิ่ง โคมขาว โคมดำ พ่นสีดำที่โคมไฟหน้าและไฟท้าย ปัจจุบันไฟหน้าแบบซีนอน ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ จึงอนุญาตให้ติดได้ เพียงแต่ติดตั้งแล้วเมื่อเข้าเครื่องมือทดสอบโคมไฟ ลำแสงต้องมีองศาตกลงจากแนวระนาบ ไม่น้อยกว่า 2 องศา และต้องไม่เบนไปทางขวา ถึงเรียกว่าผ่าน ส่วนเรื่องสีของไฟ โคมไฟหน้าทางกรมกำหนดไว้เพียง 2 สี เท่านั้นคือ สีเหลืองอ่อน และสีขาว ถ้าเป็นสีอื่น เช่น สีฟ้า สีม่วง สีเหลืองเข้มหรือสีเขียว มีความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ส่วนไฟหยุด (ไฟเบรก) ต้องเป็นสีแดง ไฟเลี้ยวต้องเป็นสีเหลืองอำพัน ไฟส่องป้ายต้องเป็นสีขาวมองเห็นป้ายทะเบียนได้ไกลไม่น้อยกว่า 20 เมตร การเปลี่ยนโคมไฟเป็นสีขาวใสหรือพ่นโคมเป็นสีดำ ต้องพิจารณาขณะเปิดไฟเลี้ยว ไฟเบรก ถ้าหลอดไฟที่แสดงออกมาชัดเจนและเป็นสีที่ทางการกำหนดก็ถือว่าผ่าน ถ้าผิดสีเพี้ยนไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายระวังโดนปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9-ไฟสปอร์ตไลต์และโคมไฟตัดหมอก ติดตั้งอย่างไรถึงจะว่าไม่ผิด
โคมไฟ สปอร์ตไลต์หมายถึงโคมไฟแสงพุ่งไกล แบบกระจายวงกว้าง แบบนี้ห้ามติดโดยเด็ดขาดแม้จะมีฝาครอบปิด ผิดพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ส่วนไฟตัดหมอกมีลักษณะเป็นไฟแสงพุ่งต่ำ ล่าสุดปี พ.ร.บ. 2536 อนุญาตให้รถยนต์ติดไฟสปอร์ตไลต์หรือไฟตัดหมอกเพิ่มได้ ข้างละ 1 ดวง (เท่ากับ 2 ดวง) ในระดับแนวเดียวกัน ความสูงจากพื้นถนนไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร และไม่สูงกว่า 135 เซนติเมตร ต้องเป็นแสงสีเหลืองหรือสีขาว กำลังไฟไม่เกิน 55 วัตต์ ไม่เกินกว่าระดับโคมไฟแสงพุ่งไกลและโคมไฟแสงพุ่งต่ำศูนย์รวมแสงต้องต่ำกว่า แนวขนานกับพื้นราบไม่น้อยกว่า 2 องศา หรือ 0.20 เมตร ในระยะ 7.50 เมตร และไม่เฉไปทางขวา

การเปิดไฟตัดหมอกนั้นทำได้เมื่อมีอุปสรรค์ในการขับขี่ เช่น มีหมอกควัน หรือฝนตกหนัก มองเห็นสิ่งกีดขวางหรือรถที่สวนทางมาในระยะไม่เกิน 150 เมตร ถ้าติดไม่ถูกต้อง หรือเปิดไฟพร่ำเพรื่อมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
รวมถึงการติดไฟนีออนใต้ท้อง หรือกรอบป้ายทะเบียน ก็เป็นสิ่งต้องห้าม ผิดอีกเช่นเดียวกันโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

10-ตีโรลบาร์แบบรถแข่ง ผิดด้วยหรือเปล่า
กฎหมายว่าด้วยห้องโดยสารมี เพียงข้อกำหนด เรื่องของจำนวนที่นั่ง มาตราวัดความเร็ว และไฟห้องโดยสารเท่านั้น ส่วนการตีโรลบาร์ยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับจึงไม่ ผิด แต่การถอดเบาะหลังออกแล้วตีโรลบาร์ จะผิดกฎหมายเรื่องการระบุลักษณะรถ และจำนวนตอน ถือว่าผิดครับ รวมถึงความแน่นหนา (เช่น เอามือจับแล้วโยกได้) ความเสี่ยงต่ำการเกิดอุบัติเหตุ (เช่น มีส่วนแหลมคมพุ่งเข้าหาผู้ขับขี่และผู้โดยสาร) ก็ถือว่าผิดได้อีกเช่นกัน ยิ่งถอดเบาะออกเหลือตัวเดียวหรือตัดตัวถังรถออกบางส่วน แล้วตีโรล์บาร์ยึดแบบ Spec Frame แบบนี้ถือว่าผิด ข้อหาดัดแปลงสภาพที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวรถ

11-ใส่กระจกมองข้างแบบเล็กๆ หรือกระจกซิ่ง ผิดไหม
ตามกฎหมายอีกเช่น กันระบุไว้ว่า รถยนต์ต้องมีเครื่องส่องหลัง (กระจกมองหลัง) และเครื่องส่องหลังภายนอก (กระจกมองข้าง) อย่างน้อย 1 อัน ซึ่งไม่ได้ระบุถึงขนาดและรูปแบบ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระจกมองข้างแบบไฟเบอร์ หรือแบบกระจกซิ่งทรงแข่ง ถ้ามี 2 ด้าน หรือด้านเดียวก็ถือว่าถูกกฎหมาย แต่ถ้าไม่มีกระจกมองข้าง หรือกระจกมองหลัง หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพ ฟันธงว่า มีเครื่องส่องหลังจริง แต่ชำรุดหรือมองเห็นไม่ชัดเจน (กระจกแตก เล็กมาก) ก็จะถือว่าผิด ต้องกลับมาแก้ไข

12-เปลี่ยนเบาะซิ่งใส่เซฟตี้เบลต์ 4 จุดยึดแบบรถแข่ง
เบาะหรือที่นั่ง ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ทาง พ.ร.บ. จริงๆ แล้วได้ระบุขนาดความกว้างยาวของเบาะเอาไว้ด้วย ซึ่งจะเกี่ยวข้องในการระบุจำนวนผู้โดยสาร เบาะแต่ง หรือเบาะไฟเบอร์ ส่วนมากมีความถูกต้องในเรื่องขนาด แต่ถ้าถอดเบาะออกไม่ว่าเบาะหลัง ถอดเหลือตัวเดียว หรือสั่งทำเบาะขนาดใหญ่พิเศษแบบนี้จะถือว่าผิด ส่วนเซฟตี้เบลต์ทางกรมก็ได้กำหนดมาตรฐานเอาไว้อีกเช่นกัน เบลต์ 4 จุดแม้ว่าจะไม่ถูกต้องในเรื่องของมาตรฐาน แต่ถ้ามีการยึดแน่นหนา ก็อนุโลมว่าผ่าน แต่ถ้าใส่เบลต์ 4 จุด 8 จุด แล้วไม่คาด แบบนี้ถือว่าไม่ผิดพระราชบัญญัติหรอกครับ แต่ผิดกฎหมายจราจรถูกจับ เสียทรัพย์อีกแล้วครับ

13-ดัดแปลงเครื่องยนต์ขยายซีซี เปลี่ยนเทอร์โบ โมกล่อง
การจะมาวัด กำลังอัด หาขนาดความจุนั้นทำได้ยาก จึงอาศัยการตรวจดูหมายเลขเครื่องยนต์ว่าถูกต้องตามทะเบียนที่แจ้งไว้หรือไม่ เท่านั้น ถ้าเลขเครื่องถูกถือว่าไม่ผิด จะขยายความจุ เปลี่ยนลูก ยืดข้อ เสริมเสื้อสูบก็ไม่ผิด หรือไม่ว่าจะเปลี่ยนเทอร์โบใหญ่ ใส่กรองเปลือย ตีเฮดเดอร์ เปลี่ยนหัวฉีด โมกล่องจนได้ 500 ม้า 1,000 ม้าก็ไม่ผิด เพียงแต่อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องต้องดูแล้วแน่นหนาและมีความปลอดภัย แต่ถ้าจูนน้ำมันจนหนามาก เจ้าหน้าที่จะใช้ผลการตรวจวัดควันดำ ค่า CO (คาร์บอนมอนอกไซด์) และค่า HC (ไฮโดรคาร์บอน) ที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียเป็นข้อกำหนดถึงสภาพเครื่องยนต์

โดยตามพระราชบัญญัติรถยนต์ กล่าวว่า
รถยนต์ที่จดทะเบียนก่อน 1 พ.ค. 2536 ต้องวัดค่า Co ไม่เกิน 4.5 เปอร์เซ็นต์ และค่า Hc ไม่เกิน 600 PPM
รถยนต์ที่จดทะเบียนหลัง 1 พ.ค. 2536 ต้องวัดค่า Co ไม่เกิน 1.5 เปอร์เซ็นต์ และค่า Hc ไม่เกิน 200 PPM

ส่วนถ้าเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซลไม่ว่าจะเปลี่ยนโบใหญ่ แต่งปั๊มเพียงใด
มาตรฐาน การวัดควันดำ ต้องไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเครื่องวัดแบบกระดาษกรอง และ 45 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเครื่องวัดแบบหาความทึบแสง ซึ่งรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี ต้องได้รับการตรวจวัดค่า Co และ Hc จาก ตรอ. ดังนั้นจะโมเครื่องแค่ไหนแต่งเครื่องอย่างไร ถ้าการเผาไหม้หมดจด Co และ Hc ผ่านก็ถือว่าถูกกฎหมาย

ถึงจะแต่งรถถูกกฎหมาย แต่ถ้าเอารถที่มีพละกำลังมากๆ แบบรถซุปเปอร์คาร์ 5-600 แรงม้า หรือบางคันว่ากันถึง 700 แรงม้า มาซิ่งกระจายอัดแข่งกันบนถนนหลวง มุดซ้ายป่ายขวาแบบหวาดเสียว ไล่บี้ไล่แซงรถคันอื่นแบบแข่งขัน แบบนี้ขอเพียงอย่าให้ถูกจับได้ ซึ่งอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 วรรคสาม ฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น มีสิทธิ์โดนสกัดจับแล้วถูกส่งฟ้องศาล ยึดรถ คุมความประพฤติ ราตรีสวัสดิ์กันไป
อุปกรณ์ตกแต่งรถอะไรบ้างที่ติดตั้งแล้วไม่มีผิดกฎหมาย
1. ท่อไอเสียรถยนต์ไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก จะเป็นรูปทรงอะไรก็ตามไม่ผิดกฎหมาย แต่จะต้องมีความดังของเสียงท่อไอเสีย ไม่เกิน 90 เดซิเบล (ในกรณีโดนตรวจจับ ทางตำรวจจะต้องใช้เครื่องมือตรวจเท่านั้นฟังด้วยหูไม่ได้)
2. สปอยเลอร์ หรือชุดแต่งไฟเบอร์ สามารถตกแต่งได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่วัสดุที่นำมาติดตั้งต้องแข็งแรง
3. รถโหลดเตี้ย สามารถกระทำได้ ไม่ผิด พ.ร.บ. แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 40 ซม. โดยวัดจากพื้นถึงไฟหน้ารถยนต์ของท่าน
4. รถยกสูง สามารถกระทำได้ ไม่ผิด พ.ร.บ. แต่ต้องไม่สูงเกิน 175 ซม. โดยวัดจากพื้นถึงไฟหน้ารถยนต์ของท่าน
5. เกจ์ และมาตรวัดต่างๆ ที่ติดตั้งภายในรถ สามารถติดตั้งได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
6. ไฟโคมเหลือง หรือสปอร์ตไลต์สามารถติดตั้งและเปิดได้ แต่ไฟต้องไม่แยงตาผู้อื่น ไม่งั้นอาจโดนตักเตือนได้ เช่นเดียวกับไฟ xenon (ไฟหน้ารถสีขาวสว่าง) แต่ถ้าเป็นไฟสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาวหรือเหลืองผิดกฎหมายทันที
7. ไฟเลี้ยวทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ต้องเป็นไฟสีเหลืองส้มเท่านั้น
8. ไฟถอยหลังต้องเป็นสีขาวเท่านั้น
9. การตกแต่งป้ายทะเบียน ไม่ว่าจะเป็นทะเบียนยาว (ตัดป้ายหรือไม่ตัดป้าย) ผิด พ.ร.บ. ส่วนป้ายทะเบียนแบบปรับองศาสามารถติดตั้งได้ แต่เมื่อมองจากด้านหน้าแล้วต้องเห็นป้ายทะเบียนชัดเจน
10. ล้ออัลลอย (ล้อ max) จะใส่ขอบขนาดเท่าไรก็ได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ขนาดของล้อจะต้องไม่ล้นออกมานอกตัวถัง แต่ถ้าไปดึงโป่งให้ล้อยื่นออกมาเกินกว่าตัวถังถือว่าผิดเต็มๆ เพราะนั่นแหละคือการดัดแปลงสภาพรถยนต์
11. สติกเกอร์แต่งรถไม่ว่าจะชิ้นใหญ่หรือเล็ก สามารถติดได้ไม่ว่าจะมากมายขนาดไหนก็ตามไม่ผิดกฎหมาย
12. กระโปรงหน้ารถสามารถทำเป็นสีดำ หรือลายเคฟล่าได้ แต่ต้องไปแจ้งการเปลี่ยนสีรถที่กรมการขนทางบก ส่งเป็น 2 สี ไม่งั้นถือว่าผิดกฎหมาย
13. การเปลี่ยนสีรถเฉพาะจุด หรือทั้งหมดต้องแจ้งที่กรมการขนส่งทางบก
14. การวางเครื่อง เมื่อวางเครื่อง + จ่ายเงินแล้ว ต้องแจ้งกรมการขนส่งทางบก


ข้อมูลจาก
http://www.fortuner-club.com/index.php?topic=57057.0

http://www.regent-mania.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=3
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom

พรบ.ยาสูบฉบับใหม่ มุ่งลดเยาวชนติดบุหรี่

พรบ.ยาสูบฉบับใหม่ มุ่งลดเยาวชนติดบุหรี่

 

   สธ.ดัน  พรบ.ยาสูบฉบับใหม่ มุ่งลด'เยาวชน'ติดบุหรี่เพิ่มจากเดิม 18 ปี พร้อมห้ามขายบุหรี่แบบแบ่งซอง ยันไม่กีดกันการค้า-ไม่กระทบร้านค้าปลีก
/data/content/26897/cms/e_abceilry5789.jpg
          ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) แถลง ข่าวถึงการจัดทำร่างพ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ พ.ศ.... ว่า ขณะนี้ได้นำเสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านสังคม และผ่านถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อไป
          "ขอยืนยันว่าสาระสำคัญ ของร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ ไม่มีประเด็นใดที่เป็นการกีดกันการค้าหรือขัดต่อกฎกติกาการค้าโลก แต่หากพ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะช่วยลดจำนวนเยาวชนไทยที่จะติดบุหรี่ใหม่ปีละ 1 แสนคน ให้มีจำนวนลดลงได้ ซึ่ง จากการวิจัยพบว่า หากป้องกันเด็กไทยไม่ให้ติดบุหรี่ได้ 1 คน จะประหยัดค่ารักษาโรคและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอื่นๆ ได้คนละราว 156,000 บาท ดังนั้น หากปล่อยให้เด็กสูบบุหรี่เพิ่มปีละ 1 แสนคน จะเกิดการสูญเสียมากถึง 15,600 ล้านบาท"
          ส่วนที่ขณะนี้มีการขึ้นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ระบุข้อความคัดค้านร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ในทำนองว่าจะทำให้เกิดผลกระทบต่อร้านค้าปลีกหรือโชห่วยว่า "ขายของก็ลำบากอยู่แล้ว อย่าออกพ.ร.บ.ควบคุมยาสูบใหม่มาให้กระทบปากท้องพวกฉันอีกเลย" ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ต้องเอาความจริงมาพูดกัน โดยพบว่ายอดจำหน่ายบุหรี่ต่อปี คือ 2,008 ล้านซอง ร้านค้าปลีกขายได้ประมาณ 8 ซองต่อวัน หรือ 240 ซองต่อเดือน เท่ากับกำไรเฉลี่ยต่อซองเท่ากับ 3.5 บาท ต่อเดือนจะอยู่ที่ 840 บาทต่อเดือน แต่กำไรของอุตสาหกรรมยาสูบอยู่ที่ปีละ 9,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นของโรงงานยาสูบ 6,000 ล้านบาท หากการออกกฎหมายฉบับใหม่จะทำให้กำไรลดลงประมาณ 10% ก็เท่ากับรายได้ของร้านค้าปลีกจะหายไป 84 บาทเท่านั้น แต่กำไรที่หายไปส่วนใหญ่เป็นของอุตสาหกรรมบุหรี่ จึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขึ้นป้ายต่อต้านในลักษณะดังกล่าว
          "เรื่องดังกล่าวต้อง?เอาความจริงมาพูดกัน โชห่วยถูกบริษัทข้ามชาติใช้เป็นเครื่องมือในการยับยั้งร่างพ.ร.บ.นี้ นอกจากการขึ้นป้ายต่อต้านกฎหมายอย่างชัดเจน ยังพบว่ามีการส่งหนังสือไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทุกกระทรวงให้ช่วยยับยั้งกฎหมายฉบับดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งเป็นการพูดแต่ว่า ธุรกิจได้รับผลกระทบโดยไม่เคยพูดว่า ธุรกิจบุหรี่สร้างความเสียหายต่อสุขภาพคนอย่างไร ทั้งนี้ การสำรวจยังพบว่า?เยาวชน 70% ซื้อบุหรี่แบบแบ่งขาย จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายเพื่อปกป้องเยาวชนอย่างเร่งด่วน" นพ.ประกิต กล่าว
          ด้าน นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข กล่าว ว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ไม่ได้ห้ามร้านค้าปลีกหรือโชห่วยขายบุหรี่ และไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้ร้านค้าเหล่านี้ แต่เป็นการกำหนดอายุผู้ที่จะซื้อต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งสอดคล้องกับพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จึงเป็นสิ่งที่ผู้ค้าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ที่สำคัญกำไรของร้านค้าปลีกส่วนใหญ่มาจากสินค้าชนิดอื่น บุหรี่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ยาสูบฉบับใหม่ อาทิ การปรับปรุงความหมายของผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีสาร นิโคตินเป็นส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ เช่น บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และมอระกู่ เป็นต้น กำหนดอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มจากเดิม 18 ปี เป็น 20 ปี ห้ามขายบุหรี่แบบแบ่งซอง และเพิ่มการห้ามขายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ทางอินเทอร์เน็ต ห้ามแสดงราคาผลิตภัณฑ์ยาสูบ ณ จุดขาย ในลักษณะจูงใจให้อยากสูบบุหรี่ เป็นต้น

ผลกระทบห้ามขายสุรารอบมหาลัย 300 เมตร

ผลกระทบห้ามขายสุรารอบมหาลัย 300 เมตร

 

 บ่ายวันนี้ (26 มิถุนายน 2558) มีการประชุมสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย หรือ TABBA (ย่อจาก Thai Alcohol Beverage Business Association) และพันธมิตรจากสมาคมธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมเอเชีย ปทุมวัน  โดยมีหัวข้อสำคัญในการประชุมคือ ผลกระทบจากร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและ อาชีวศึกษาในระยะ 300 เมตร
จริงๆ กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เพิ่งร่างขึ้นมาตามกระแสสังคมที่ตอบสนองต่อข่าวโศก นาฏกรรมที่นักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิตถูกทำร้ายร่างกายจากวัยรุ่นที่ดื่มสุรา ใกล้บริเวณมหาวิทยาลัย แต่เป็นแผนที่วางไว้เป็นขั้นเป็นตอนโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ (เพิ่งสังเกตว่า เว็บไซต์ของเขาใช้คำว่า “anti alcohol” หรือ “ต่อต้าน” ไม่ใช่ “ควบคุม”


ที่ต้องการจะกำจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้หมดไปจากประเทศไทย
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุดที่กำลังขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เป็นกรรมการนั้น จะเข้าสู่การพิจารณาของกรรมการนโยบายดังกล่าว ในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ และมีสาระสำคัญคือ ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในบริเวณ 300 เมตร รอบสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ตลอด 24 ชั่วโมง แม้จะมีข้อยกเว้นให้กับ โรงแรมและสถานบันเทิง แต่ต้องเป็นโรงแรมที่จดทะเบียนตามกฎหมายโรงแรม ส่วนสถานบันเทิงนั้น จะต้องอยู่ในเขตที่อนุญาตให้จัดตั้งสถานบันเทิงได้ ซึ่งในกรุงเทพฯ มีเพียง 3 แห่งเท่านั้น ได้แก่ย่านพัฒน์พงศ์ อาร์ซีเอ และเพชรบุรีตัดใหม่


ข้อกฎหมาย
ลองพิจารณาอำนาจในการออกประกาศฉบับนี้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 27
มาตรา 27 ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณดังต่อไปนี้
(8) สถานที่อื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
จะเห็นว่าวงเล็บ 8 เปิดโอกาสให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสนอรัฐมนตรีประกาศเพิ่มเติมสถานที่หรือบริเวณต่างๆ ได้ตามใจชอบ
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การห้ามขายสุราในบริเวณ 300 เมตรรอบสถานศึกษา น่าจะเกินอำนาจที่ มาตรา 27 ได้ให้ไว้ เพราะไม่ใช่สถานที่ และจะตีความคำว่าบริเวณว่าอย่างไร ใช้ระยะทางห่างจากรั้วมากำหนดบริเวณได้หรือไม่ คงต้องไปฟ้องศาลปกครองเอา
แต่หากปล่อยให้ออกประกาศตามใจหมอสมานไปเรื่อยๆ ก็เตรียมเจอประกาศห้ามขายสุราทุกวันพระ ห้ามขาย 300 เมตร รอบวัด ห้ามขายในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ และสงกรานต์ เป็นต้น
20150626_145316
การประชุมในวันนี้จึงเป็นการระดมความคิดเห็น เพื่อทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งคือรองนายกรัฐมนตรีด้านสังคม ศ.ดร. ยงยุทธ ยุทธวงศ์ เพื่อให้ท่านเข้าใจและรับทราบผลที่จะเกิดขึ้นหากให้ความเห็นชอบกับร่าง ประกาศฉบับนี้
ซึ่งจะมีผลกับเศรษฐกิจของประเทศ กระทบการท่องเที่ยว กระทบขนบธรรมเนียมประเพณี การจ้างงาน ละเมิดผู้ประกอบธุรกิจโดยสุจริต กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย ที่ใช้กฎหมายสุดโต่งที่ประเทศอื่นไม่มี แต่ก็ยังไม่สามารถลดผลเสียจาก “การบริโภคสุราในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง” ลงได้
ทั้งๆ ที่กฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะใน พรบ. ฉบับเดียวกันนี้ ได้ห้ามขายสุราแก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ในมาตรา 29 ดังนั้นเหตุผลที่ว่าต้องการลดการดื่มสุราของเยาวชนนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกกฎหมายเพิ่ม เพียงแต่บังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพเท่านั้น
กฎหมายเดิมยังบังคับไม่ได้ ยังจะออกกฎหมายใหม่
และเมื่อสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยืนยันค้านร่างประกาศ 300 เมตร รอบสถานศึกษานี้แล้ว ย่อมต้องเสนอทางเลือกให้กับรัฐบาลในการลดปัญหาจากแอลกอฮอล์ โดยใช้ “เครือข่ายความร่วมมือเพื่อการดื่มแอลกอฮอล์อย่างรับผิดชอบในประเทศไทย” ซึ่ง ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในแวดวงสุรา จะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่ทุกฝ่ายก็ยอมรับว่าเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน

กฎหมายยาเสพติดและบทลงโทษ

กฎหมายยาเสพติด

 

ปัจจุบันปัญหายาเสพติดได้แผ่ขยายวงกว้างไปทั่วทุกหนแห่ง แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวเกิดโรคระบาด มีการคิดค้นตัวยาแปลกๆออกมาขายกันเกร่อ ก่อให้เกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมทุกด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมครอบครัว มีข่าวการจับกุม ข่าวเภทภัยของยาเสพติดให้เห็นทุกวันทางทีวี หนังสือพิมพ์ แต่เหตุใดยิ่งปราบก็ยิ่งมีมากขึ้นทวีความรุนแรงขึ้นทุกที จึงคิดว่าควรนำเสนอให้เห็นบทกำหนดโทษของกฎหมายยาเสพติดซึ่งไม่ค่อยจะมีใครนำมาเสนอให้อ่านกัน
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่ใช้เป็นหลักอยู่ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาหลายครั้งจนกระทั่งล่าสุดจึงมี พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 เพื่อปรับปรุงพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ให้เหมาะสมกับปัญหา โดยแก้ไขโทษในความผิดเกี่ยวกับการมีไว้ในครอบครอง มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษจำนวนเล็กน้อยให้มีโทษขั้นสูงลดลง เพื่อให้บุคคลซึ่งต้องหาว่าเสพเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพตาม กฎหมายว่าด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ 2545 และเพิ่มมาตรการในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษโดยให้มีการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น การให้อำนาจสั่งตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลใดมียาเสพติดให้โทษอยู่ในร่างกายหรือไม่ ฯลฯ
ยาเสพติดให้โทษ หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยการกิน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยวิธีการใด ๆ แล้วจะทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ รวมตลอดถึงพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นหรืออาจใช้ผลิตเป็นยาเสพติด และสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษด้วย
 
ยาเสพติดมีหลายประเภท ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการแบ่งตามกฎหมาย เช่น
1. พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เช่น แอมเฟตามีน เฮโรอีน LSD ยาอี ฯลฯ
2. พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 เช่น อีเฟดรีน
3. พระราชกำหนดป้องกันการใช้สารระเหย พ.ศ. 2533 เช่น ทินเนอร์ กาว แล็กเกอร์
 
1.พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้แบ่งยาเสพติดให้โทษออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงมี 38 รายการ เช่น เฮโรอีน แอมเฟตามีน แมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) เอ็กซ์ตาซี และแอลเอสดี
ประเภทที่ 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป มี 102 รายการ เช่น ใบโคคา โคคาอีน โคเดอีน ยาสกัดเข้มข้นของต้นฝิ่นแห้ง เมทาโดน มอร์ฟีน ฝิ่นยา (ฝิ่นที่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งเพื่อใช้ในทางยา) ฝิ่น (ฝิ่นดิบ ฝิ่นสุก มูลฝิ่น)
ประเภทที่ 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นต้นตำรับยาและมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ คือ ยารักษาโรคที่มียาเสพติดประเภท 2 เป็นส่วนประกอบอยู่ในสูตร เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องเสีย
ประเภทที่ 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือ 2 มี 32 รายการ เช่น อาเซติคแอนไฮไดรด์ อาเซติล คลอไรด์
ประเภทที่ 5 ยาเสพติดให้โทษที่ไม่เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึง 4 มี 4 รายการ คือ กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม และพืชเห็ดขี้ควาย

 
 

กฎหมายอาญา

กฎหมายอาญา

 

 

 กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิด และกำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดนั้น เป็นกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดเป็นความผิด

หลักกฎหมายอาญาภาคทั่วไป
  1. กฎหมายอาญาต้องแน่นอนชัดเจนคือ “ถ้อยคำ” ในบทบัญญัติกม.อาญาต้องมีความชัดเจนหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่จะทำให้การตัดสินคดี ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัย และอำเภอใจผู้พิจารณาคดี
  2. ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน) ลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
  3. กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่ผ่านมาแล้วเป็นกม.ที่ใช้ใน ขณะกระทำการนั้นกม.อาญาในที่นี้ คือ บทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการกระทำผิดและโทษ (Nullum crimen, nulla peona sina lega หรือ No crime, no punishment without law)
  4. กฎหมายอาญาต้องแปลหรือตีความโดยเคร่งครัด ความเข้าใจที่ว่าหากตีความตามตัวอักษรแล้วหากข้อความนั้นไม่ชัดเจนจึงค่อย พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ การตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความทั้งตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไป พร้อมๆกัน โดยไม่สามารถเลือกตีความอย่างใดอย่างเพียงอย่างเดียวก่อนหรือหลังได้ การตีความกฎหมายดังที่กล่าวมาจึงอาจมีการตีความอย่างแคบหรืออย่างกว้างก็ได้ ทั้งนี้ เกิดจากการพิจารณาตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยอาจกล่าวได้ว่ามีแต่การตีความกฎหมายนั้นมีแต่การตีความโดยถูกต้องเท่า นั้น และการที่กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัดนั้น หมายความว่า ห้ามตีความกฎหมายเกินตัวบท โดยในกรณีที่เกิดช่องว่างของกฎหมายขึ้นจากการตีความที่ถูกต้องแล้ว จะไม่สามารถนำกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง (Analogy) มาปรับใช้เพื่อลงโทษผู้กระทำได้
  5. ห้ามใช้จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นลงโทษทางอาญาแก่บุคคล เพราะตัวบทมาตรา 2 ใช้คำว่า “บัญญัติ” และสอดคล้องกับข้อ 1 เพราะจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นเรื่องของแต่ละท้องถิ่น ไม่ชัดเจนแน่นอน แตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประเภทของความผิด
ความผิดทางอาญามี 2 ประเภทคือ
  1. ความผิดในตัวเอง (ละติน: mala in se) คือความผิดที่คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
  2. ความผิดเพราะกฎหมายห้าม (ละติน: mala prohibita) คือความผิดที่เกิดจากการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด โดยอาจมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมเลย ซึ่งหากกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมายสามยุค ความผิดเพราะกฎหมายห้ามอยู่ในยุคกฎหมายเทคนิค
ลักษณะของการเกิดความผิด
กฎหมายอาญาแบ่งลักษณะของการกระทำความผิดไว้ 3 ประเภทคือ
  1. ความผิดโดยการกระทำ
  2. ความผิดโดยการงดเว้นการกระทำ
  3. ความผิดโดยการละเว้นการกระทำ
สภาพบังคับของกฎหมายอาญา
โทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญา ตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฎีซึ่งเกี่ยว กับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฎีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการ กระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิม